ครีตเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของหมู่เกาะกรีซ และเกาะครีตเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนรองจากซิซิลีซาร์ดิเนียไซปรัสและคอร์ซิกา เกาะครีตมีเกาะเล็กเกาะน้อยน้อยเป็นส่วนประกอบของครีต เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือเอรักกลิออน ตั้งแต่ปี 2011 และมีประชากรประมาณหกแสนกว่าคน ภาษาที่ใช้ในทางราชการคือภาษากรีก
ครีตเป็นเกาะที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สวยงามทั้งด้วยอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำให้ครีตเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจและด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจจึงทำให้ครีตเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในยุโรปที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจทางด้านประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและอยากมาสัมผัสบรรยากาศและสถานที่ที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ครีตครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมมิโนอัน (ค. 2700–1420 ก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักในยุโรป และวังแห่ง Knossos ที่มีชื่อเสียงก็อยู่ในครีต
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับใครที่สนใจไปเที่ยวเกาะครีตคือช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกินไป อุณหภูมิระหว่างวันอยู่ที่ประมาณ 24-27 องศาโดยประมาณ และช่วงเวลากลางคืนจะอยู่ที่ 13-15 องศาโดยประมาณ นอกจากสภาพอากาศที่ดีแล้วทะเลก็อบอุ่นมีดอกไม้นานาพันธุ์มากมายที่เบ่งบาน ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มรับฤดูไบไม้ผลิและหน้าร้อน อีกทั้งช่วงเดือนนี้นักท่องเที่ยวไม่มากจนเกินไป และเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบเดินเขาหรือปีนเขาอีกด้วย
1.เยี่ยมชมวังเก่า Knossos
เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คเลยทีเดียวสำหรับสถานที่แห่งนี้ ถ้ามาครีตแล้วไม่มาที่นี่ถือว่าพลาดมากเพราะวังคนอซซอสเป็นสถานที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในครีต คนอซซอส ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวงเอรักกลิออนประมาณ 5 กม.ในครั้งวัฒนธรรมยุคสำริดยุคก่อนกรีกและอำนาจทางทะเลครั้งแรกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มิโนอันได้รับการตั้งชื่อตามกษัตริย์ในตำนาน คนอซซอส ใกล้เอรักกลิออนเชื่อกันว่าเป็นวังของกษัตริย์มินอส อาคารพักอาศัยขนาดใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่บนลานกว้างใหญ่ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจัดกิจกรรม “Bull-Leaping” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งไปหากะทิงและใช้กำลังคว้ามันด้วยเขา คนอซซอสถูกทิ้งร้างราว ๆ ปี ค.ศ. 1450 นักโบราณคดีไม่แน่ใจว่าทำไม อาจเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงหลังจากการระเบิดของภูเขาไฟในซานโตรีนีหรืออาจเป็นเพราะครีตถูกทำลายโดยผู้บุกรุก มิโนอันก็หายไปอย่างสมบูรณ์
2.เดินเขาสำรวจอุทยานแห่งชาติ Smaria Gorge
อุทยานแห่งชาติ สมาเรีย เป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของครีตและสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เมื่อเทียบกับหมู่เกาะกรีกอื่น ๆ คือหุบเขาสมาเรีย ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติของ Samarai in the White Mountains เป็นหุบเขาที่สวยงามและเส้นทางนี้เป็นทางเดินลงเขาสิบไมล์ไปสิ้นสุดที่หาดทรายสีดำใน อเกรูเมลลิ( Agia Roumelli) ในทะเลลิเบียน นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องเดินผ่านป่าของต้นไซเปรสและต้นสนโบราณจากนั้นตัดระหว่างหน้าผาแนวดิ่งผ่านภูเขา การเดินป่านี้อาจใช้เวลาระหว่างสี่ถึงเจ็ดชั่วโมงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วและระดับความแข็งแรงของบุคคล ในตอนท้ายของช่วงระยะการเดินทางนักเดินทางไกลส่วนใหญ่จ้างเรือเพื่อพาพวกเขาไปยัง โชลาปากิออน (Chora Sfakion)
สิ่งที่ต้องเตรียมไปและข้อมูลที่น่ารู้สำหรับการเดินป่าในอุทยานเห่งชาติ สมาเรีย
การเดินสำรวจอุทยานแห่งนี้แนะนำว่าควรจองไปกับกรุ๊ปทัวร์เพราะถ้าไปเองจะลำบากและเพราะเป็นการเดินลงเขาและถ้าไปเองโดยรถโดยสาร คุณจะต้องเดินย้อนขึ้นเขากลับไปหาจุดที่จอดรถยนต์ของคุณซึ่งเป็นทางเดินที่ลำบากมากเมื่อเทียบกับการเดินลงเขา นอกจากนี้การเดินสำรวจอุทยานแห่งนี้ใช้เวลาทั้งวันประมาณ 6-7ชั่วโมง และถ้าคุณจองไปกับกรุ๊ปทัวร์ ทางบริษัทจะจัดการหารถเดินทาง เรือ หรือแม้แต่การเล่าถึงประวัติของอุทยานแห่งนี้และให้ข้อมูลดูแลความสะดวกอื่นๆ
สิ่งที่ต้องเตรียมไปคือ
1) รองเท้าอย่างดีใช้สำหรับเดินป่า เพราะเส้นทางเดินเป็นหินขรุขระ ก้อนหินเล็กใหญ่ โคดหินเยอะ ขึ้นเขาลงเขาอยู่ตลอด ไม่แนะนำรองเท้าแตะเพราะจะทำให้เกิดการบาดเจ็บขณะเดินเขาได้
2) อาหาร และขวดน้ำสักสองขวด ในอุทยานแห่งชาตินี้มีจุดให้แวะพักต่างๆหลายจุดให้ได้แวะเข้าห้องน้ำ พักรับประทานอาหาร อีกทั้งยังมีที่ที่คุณยังสามรถเติมน้ำที่ไหลมาจากเขาเป็นน้ำที่ใสสะอาดและสามารถดื่มได้ให้คุณได้แวะเติมน้ำได้อีกด้วย
3) กระเป๋าเป้ไว้ใส่ของและกล้องถ่ายรูป ที่ทุกคนจำเป็นจะต้องนำไปด้วย คุณจะได้เก็บภาพสวยๆไว้เป็นที่ระลึก
4) หมวกหรือครีมทากันแดด เพราะระหว่างที่เดินทางทั้งวัน แน่นอนว่าคุณจะต้องเจอแดดตลอดเวลา สำหรับคนที่กลัวผิวไหม้หรือผิวเสีย แนะนำให้เอาติดกระเป๋าไปได้ยิ่งดี
3.เที่ยวชมเกาะประวิตศาสตร์ Spinalonga
สปินาลองกา เป็นป้อมปราการเกาะทางเข้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังอ่าว เอลลูนดา(Elounda) ที่แห่งนี้เป็นจุดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในการสำรวจประวัติศาสตร์ของเวนิส ที่มีอดีตอันวุ่นวายด้วยการบุกค้นทางประวัติศาสตร์ของชาวอาหรับการยึดครองของชาวเวนิสการยึดครองของออตโตมันทั้งหมดก่อนที่จะกลายเป็นอาณานิคมของโรคเรื้อน สปินาลองกาถูกนำมาใช้เป็นอาณานิคมโรคเรื้อนสำหรับผู้คนจากทั่วประเทศกรีซที่กำลังทุกข์ทรมานจากโรคนี้ในสมัยก่อน สปินาลองกาใช้เวลานั่งเรือไม่ไกลจากเอลลูนดา และ อาโยสนิโคลาวส และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่มาที่เกาะเพื่อชมซากของอาณานิคมคนโรคเรื้อนที่ถูกทิ้งร้างป้อมปราการและอาคารเก่าแก่มากมาย อย่างไรก็ตามการเยี่ยมชมเกาะนี้มี จำกัด เพียงไม่กี่ชั่วโมงเนื่องจากไม่มีที่พักในสปินาลองกา
4.เที่ยวเมืองหลวง Heraklion
เอรักกลิออนยังเป็นที่รู้จักกันในนาม Iraklio เป็นเมืองท่าและเมืองหลวงของเกาะครีต ที่สำคัญเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในครีต และเป็นที่รู้จักกันในวังแห่ง คนอซซอส นอกเมือง และที่สำคัญเอรักกลิออนมีป้อมปราการ Venetian ของ Koules สมัยศตวรรษที่16, พิพิธภัณฑ์โบราณคดี และเอรักกลิออนยังมีงานศิลปะ Minoan จำนวนมากและมีเอกลักษณ์ผสมผสานอย่างลงตัวกับอดีตที่พูดได้หลายภาษาเช่นโบสถ์ไบเซนไทน์ที่ตั้งอยู่ถัดจากคฤหาสน์สไตล์เวนิสและตุรกี มีร้านอาหารร้านกาแฟและบาร์ที่ตอบสนองทุกรสนิยม
5.เที่ยวชมเมืองเก่า Rethymnon
เมืองเก่าของ เรตรีมนอน (Rethymnon หรือ Rethimno) ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองที่ทันสมัยและมีการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมเวเนเชียนและครีต เรตรีมนอนก่อตั้งขึ้นในปี 1204 หลังจากที่ชาวเวเนเชียนได้เอาชนะครีตดังนั้นอาคารที่เหลือส่วนใหญ่ในเขตเมืองเก่าจึงเป็นงานสร้างแบบเวนิส ถนนแคบ ๆ ของเมืองเก่าและท่าเรือเวนิสขนาดเล็กนั้นยอดเยี่ยมสำหรับการเดินช้อปปิ้งเพลิดเพลินกับอาหารค่ำที่ร้านเหล้าเล็ก ๆ และชมสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งของเรตรีมนอน นักท่องเที่ยวจะต้องไปชมปราสาท ฟอเทสซา(Fortezza) ที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งสร้างขึ้นในปี 2133 และตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ ในใจกลางเรตรีมนอน
6.พักอาบแดดที่ Balos Beach
บาลอส เป็นหนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดของครีตตั้งอยู่ใกล้กับเมือง คิสสามอส (Kissamos) ตั้งอยู่ระหว่างเกาะเล็ก ๆ ของ อิมเมริ เกรมวูสา (Imeri Gramvousa) และเกาะครีตเอง นักท่องเที่ยวสามรถเดินทางเข้าถึงชายหาดได้โดยทางเรือหรือรถยนต์ ถ้าไปทางรถยนต์คุณต้องเดินเข้าไปถึงตัวหาดจากที่จอดรถประมาณสองกิโลเมตร และเมื่อคุณเดินทางไปถึงที่นั้นคุณจะได้บรรยากาศที่สวยงามราวกับสวรรค์และด้วยวิวทิวทัศน์อันน่าทึ่ง ทรายที่ละเอียดและน้ำทะเลสีฟ้าและสีฟ้าคราม บาลอส เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในครีตซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก เดือนกรกฎาคมและสิงหาคมเป็นช่วงที่คึกคักที่สุด
7.แวะชมท่าเรือเก่าที่ Chania
คาเนีย เป็นเมืองทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะครีต เป็นที่รู้จักสำหรับท่าเรือเวนิสสมัยศตวรรษที่ 14 ถนนแคบ ๆ และร้านอาหารริมน้ำ ที่ทางเข้าท่าเรือเป็นประภาคารสมัยศตวรรษที่ 16 ที่มีอิทธิพลแบบเวนิสอียิปต์และออตโตมัน ท่าเรือแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1320 ถึง 1899 โดยชาวเวนิส และเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ท่าเรือไม่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ดังนั้นในที่สุดท่าเรือก็ถูกทอดทิ้งโดยเรือขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนท่าเรือของ เซาดา(Souda ) อย่างไรก็ตามในวันนี้ท่าเรือเก่าของคาเนียยังคงถูกใช้โดยเรือหาปลาและเรือยอชท์ขนาดเล็ก คนส่วนใหญ่มาที่นี่เพื่อเพลิดเพลินกับการเดินเล่นผ่านท่าเรือจิบกาแฟหรือทานอาหารเช้าพร้อมชมวิวประภาคารหรือเพลิดเพลินกับอาหารในร้านอาหารและร้านค้าต่างๆมากมาย
8.เข้าชมอาราม Arkadi Monastery
อาราม อารกาดิ (Arkadi) เป็นอารามนิกายอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงที่อุดมสมบูรณ์ 23 กม. ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเรตรีมนอน ( Rethymnon) บนเกาะครีตในกรีซ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีอิทธิพลมาจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ประวัติความเป็นมาอันน่าเศร้าของอารามแห่งนี้คือ ในปี 1866 อารามแห่งนี้เป็นสถานที่หลบภัยที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรีชาวเครตันมากกว่า 940 คน ซึ่งในสมัยนั้นมีการจราจลที่เกิดจากการที่ชาวเครตันที่อยู่ภายใต้การปกครองของตุรกีติดสินใจก่อการประท้วงก่อให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และ พวกเติร์กบุกโจมตีอารามเป็นเวลาสามวันและในที่สุดก็สามารถบุกเข้าไปในประตูได้ เมื่อถึงจุดนั้นผู้ลี้ภัยได้ตัดสินใจยุติชีวิตของพวกเขาแทนที่จะถูกจับกุมเป็นเชลยและได้ระเบิดถังดินปืนซึ่งจบลงด้วยการฆ่าชาวเติร์กและชาวเครตันเองหลายร้อยชีวิต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจุดประกายความเห็นอกเห็นใจและความสนใจทั่วโลกสำหรับชะตากรรมของคนครีต อารามนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 ได้รับการบูรณะในปี 1870
9.เล่นน้ำที่หาดสีชมพู Elafonisi
ชายหาดที่สามารถพบได้บนเกาะเอลาโฟนิสิ (Elafonisi) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของครีต เอลาโฟนิสิแยกออกจากชายฝั่งของครีตโดยทะเลสาบตื้นเขิน ในความเป็นจริงมันตื้นมากที่ผู้เข้าชมสามารถเดินไปยังเกาะ 200 เมตร ได้อย่างง่ายดาย น้ำรอบเกาะนี้ใสและหาดทรายมีลักษณะพิเศษคือทรายหาดมีตั้งแต่ขาวประกายไปจนถึงชมพูอ่อน ชายหาดของเกาะนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวดังนั้นจึงอาจมีผู้คนหนาแน่นในบางพื้นที่ นักท่องเที่ยวที่ต้องการหลีกเลี่ยงฝูงชนสามารถเดินไปได้ไกลขึ้นซึ่งพวกเขาจะพบกับจุดที่ดีและเงียบสงบมากมาย
10.ชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Matala
ในภาคใต้ตอนกลางของครีต ใน เอรักกลิออน (Heraklion) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของครีตคือเมืองชายทะเลของมาตาลา และมีที่ตั้งที่ไม่เหมือนใครคือเป็นหน้าผาชอล์กของอ่าวมาตาลามีลักษณะเป็นถ้ำที่ขุดเป็นหลายๆถ้ำ ทำให้สถานที่แห่งนี้มีลักษณะที่โดดเด่น และในช่วงยุคโรมันมาตาลากลายเป็นท่าเรือของจอตีส (Gortys) ในศตวรรษที่ 1 และ 2 ถ้ำถูกใช้เป็นสุสาน หนึ่งในถ้ำนั้นถูกเรียกว่า “บรูโตสเปเลียนา” (Brutospeliana) เพราะตามตำนานเล่าขานโดยทั่วไปของบรูตัสโรมัน
มาตาลาได้กลายเป็นหมู่บ้านชาวประมง ในปี 1960 ถ้ำถูกครอบครองโดยพวกฮิปปี้ซึ่งต่อมาถูกขับออกจากโบสถ์ด้วยกลุ่มทหาร ตอนนี้มาตาลาเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ฮิปปี้ของมาตาลา
ที่มาตาลามีอ่าวที่สวยงามและตั้งอยู่แคบและเปิดออกไปทางทิศตะวันตกนักท่องเที่ยวและชาวเมืองมาตาลาจึงมีพระอาทิตย์ตกดินที่น่าทึ่งทุกเย็น และในมาตาลามีร้านอาหารและระเบียงให้เลือกมากมายพร้อมทิวทัศน์อันตระการตาของอ่าว มีร้านขายของที่ระลึกหลายแห่งซึ่งมีทางเดินตรงกลางปิดดังนั้นคุณสามารถเดินเล่นในที่ร่มได้ เมื่อคุณมาที่มาตาลาคุณจะได้บรรยากาศแบบฮิปปี้จากศตวรรษที่หกสิบกว่าจนถึงเจ็ดสิบ และในปีที่ผ่านมามาตาลาเป็นสถานที่ที่นิยมมากที่สุดสำหรับพวกฮิปปี้จากทั่วทุกมุมโลก
11.แวะช็อปปิ้งกับวันสบายๆที่ Agios Nikolaos
อาโยสนิโคลาวส(Agios Nikolaos) เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านหรือฟาร์มขนาดเล็กและเป็นส่วนหนึ่งของลาซิธิ (Lassithi) มีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ทะเลสาบขนาดเล็ก “วูลิสเมน” (Voulismeni), ชายหาดเล็ก ๆ ในเมือง, เกาะอาเยยปาเดส (Agioi Pantes), พิพิธภัณฑ์โบราณคดี, นิทรรศการพืชท้องถิ่นไอริส และงานแสดงสินค้ามากมาย นอกจากนั้นเพียงแค่นั่งเรือข้ามฟากไปไม่ไกลจากอาโยสนิโคลาวส คือเกาะสปินาลองกา ป้อมปราการเวนิสโบราณได้กลายเป็นอาณานิคมของโรคเรื้อนในตอนต้นของศตวรรษที่ 20
12.มาจิบกาแฟที่ Sitia
ซิเทียเป็นเมืองที่เงียบสงบทางตะวันออกของเกาะครีต ห่างจากเมืองอาโยสนิโคลาวสประมาณ 70 กิโลเมตรและมีประชากรประมาณ 8900 คน ซิเทียแตกต่างจากเมืองส่วนใหญ่บนเกาะค่อนข้างทันสมัยจัดระเบียบและมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์น้อย นี่เป็นเพราะสถานที่แห่งนี้ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ในอดีตโดยผู้ปกครองเมืองเวนิสในปี 1651 หลังจากนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่มาสองศตวรรษ จากปลายศตวรรษที่ 19 คนย้ายกลับไปที่เมืองเพื่อสร้างมันขึ้นมาใหม่
และสถานที่ที่เป็นแลนด์มาร์คคือ
– สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่หลังจากการสร้างเมืองขึ้นใหม่คือปราสาทเวเนเชียนที่เรียกว่า “คาซามา” อยู่ห่างจากท่าเรือทางเหนือเพียง 200 เมตร ค่าเข้าชมฟรี แต่โปรดจำไว้ว่าเวลาเปิดทำการไม่สม่ำเสมอ
– พิพิธภัณฑ์โบราณคดีของเมืองตรงข้ามกับสถานีรถบัสประมาณ 300 เมตรจากท่าเรือ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีเพียงห้องเดียวซึ่งมีการค้นพบจากการขุดค้นในภูมิภาค เวลาเปิดทำการคือวันอังคารถึงวันอาทิตย์ 8:30 น. – 15:00 น.
13.สำรวจถ้ำของเทพเจ้าซุส (Psychro Cave, Lasithi Plateau)
ใกล้เมืองซี่โกร(Psychro) คุณจะพบถ้ำ “the Dictaean Cave หรือ Diktéon Andron ” นี่คือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญบนที่ราบสูงลาซิธิ ตามตำนานที่นี่ถ้ำ Dictaean มีชื่อเสียงในตำนานเทพเจ้ากรีก เป็นสถานที่ที่ อมาลเทรีย(Amaltheaw) ได้ เลี้ยงดูทารกซุสด้วยนมแพะของเธอ เพื่อปกป้องเขาจากพ่อของเขาโครนัส (Krónos) นอกจากนั้นนักโบราณคดีพิสูจน์ให้เห็นถึงการใช้งานที่ยาวนานของสถานที่นี้เพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มันเป็นหนึ่งในถ้ำที่เชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดหรือที่ซ่อนของซุสเทพเจ้ากรีก ภูเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำเป็นที่รู้จักกันดีในครีต
สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางมาที่นี่ โดยหลักการแล้วถ้ำเปิดตั้งแต่ 8.00 น. ถึง 20.00 น. ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม หากคุณต้องการเดินทางมาเองหรือมากับรถบัสท่องเที่ยวขอแนะนำให้มาเร็วเพราะนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะและต้องต่อแถวเข้าชมถ้ำ จากลานจอดรถเส้นทางจะต้องเดินขึ้นเขาดังนั้นจึงแนะนำให้ใส่รองเท้าที่ดี อย่างไรก็ตามเส้นทางที่สูงชันนั้นให้ภาพที่สวยงามพร้อมทิวทัศน์เหนือที่ราบสูง นอกจากนี้สำหรับเด็กเล็กหรือนักท่องเที่ยวที่เดินขึ้นเขาไม่ไหวสามารถใช้บริการขี่หลังลาได้ในราคา 10 ยูโรและตั๋วเข้าชมถ้ำในราคา6 ยูโร